|
ขึ้นชื่อว่าเจ็บป่วยไม่ว่าจะด้วยโรคใดก็ตามล้วนแล้วแต่ไม่มีใครปรารถนา อยากเผชิญ ยิ่งช่วงเวลานี้ที่อากาศเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิลดลงในหลายพื้นที่
หัด นับเป็นอีกโรคหนึ่งที่พบแพร่ระบาดในช่วงหน้าหนาวต่อเนื่องไปจนถึงหน้าร้อน โรคดังกล่าวแม้จะมีวัคซีนป้องกัน แต่อย่างไรก็ตามหากต้องเจ็บป่วยเป็นหัด โรคดังกล่าวนี้มีความอันตรายสร้างความทุกข์ทรมานแก่ผู้ป่วย
พญ.สาลินี หิรัญบูรณะ กุมารแพทย์ประจำโรงพยาบาลเวชธานีให้ความรู้ถึงโรคดังกล่าวนี้ว่า หัดเป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจซึ่งมีมายาวนาน ปัจจุบันโรคนี้แม้จะลดลงเนื่องจากมีวัคซีนป้องกัน แต่อย่างไรแล้วก็เริ่มที่จะพบมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีมานี้ ซึ่งสาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส Rubeola ในน้ำลายและทางเดินหายใจของผู้ป่วย
“โรคหัดมักระบาดช่วงมกราคมถึงต้นเมษายนมักเกิดในกลุ่มเด็กเล็กอายุ 6 เดือนถึง 6 ปีมากที่สุด เนื่องจากภูมิต้านทานจากมารดาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ลดลงและยังเป็นช่วงที่ติดเชื้อทางเดินหายใจได้ง่ายและนอกจากกลุ่มนี้ปัจจุบันยังพบในผู้ป่วยที่มีอายุสูงขึ้นในวัย 10 ปีขึ้นไป
วัยเสี่ยงดังกล่าวผู้ปกครอง จึงไม่ควรละเลยควรได้รับวัคซีนป้องกันหัดและโรคติดต่อทางเดินหายใจอื่น ๆ อีกทั้งในเด็กที่เคยได้รับวัคซีนแล้ว เมื่ออายุเพิ่มขึ้นภูมิต้านทานจากการฉีดวัคซีนจะลดลง จึงควรมีการกระตุ้นวัคซีนหัดอีกครั้ง ซึ่งเป็นเข็มที่สองในอายุประมาณ 5-6 ปี”
ส่วนช่วงเวลานี้ที่อากาศหนาวเย็น หัดสามารถแพร่ระบาดได้ดีก็เพราะหัดเป็นโรคในระบบทางเดินหายใจ สภาพอากาศเปลี่ยนเช่นนี้จะส่งผลต่อเชื้อไวรัสซึ่งจะแบ่งตัวกระจายได้ดี สภาพอากาศเปลี่ยน ทางเดินหายใจแห้งและเย็นก็มีโอกาสรับเชื้อได้มาก
การแพร่ระบาดที่มีเกิดขึ้นเป็นผลมาจากหลายสาเหตุ ทั้งผลจากการฉีดวัคซีนที่ไม่ยั่งยืน การไม่ได้รับวัคซีนอย่างต่อเนื่องขาดการกระตุ้น รวมทั้งการละเลยไม่รักษาสุขอนามัย
หัดเป็นโรคที่มีมายาวนานในอาการของโรคที่เห็นชัดเจน โรคหัดจะมีไข้สูง 3-4 วันโดยที่ไข้ไม่ลด มีอาการปวดเมื่อยตามตัว ปวดหัว ปวดกระบอกตามาก บางคนมีอาการตาแดงร่วมด้วย จากนั้นจะมีอาการไอมากและมีโรคแทรกซ้อนในระบบทางเดินหายใจและมีผื่นลักษณะพิเศษหลังจากวันที่ 4 ของการมีไข้จะเป็นผื่นลักษณะหนาแดงอยู่ 4-5 วันและหายไปได้พร้อมทั้งยังมีรอยดำของผื่น
“อาการที่โดดเด่นของโรคหัดสังเกตได้จากอาการไข้นาน ตาแดงก่ำ ปวดหัว อาการเริ่มแรกแม้จะคล้ายไข้หวัดใหญ่แต่เมื่อพิจารณาถึงอาการไข้พบไข้สูงหลายวัน จากนั้นจะมีอาการไอมาก มีผื่นขึ้นซึ่งจะไม่เหมือนโรคอื่น โดยเม็ดผื่นจะเป็นจ้ำแดงหนามีลักษณะเหมือนนำทรายมาโรยทับกัน เม็ดผื่นจะกระจายไปทั่วตามลำตัว แขน ขา ฯลฯ ผื่นที่เกิดขึ้นจะอยู่นานเป็นสัปดาห์และจะเปลี่ยนเป็นจุดดำ
อีกทั้งช่วงวันที่ 3 ของการมีไข้สูงจะพบจุดแดงเหลืองในกระพุ้งแก้มของผู้ป่วยซึ่งลักษณะพิเศษนี้เรียกว่า koplick’s spot นอกจากนี้ยังมีอาการไอมาก หากร่างกายอ่อนแอหรือภูมิต้านทานต่ำก็อาจป่วย มีโรคแทรกซ้อน ปอดอักเสบ ฯลฯ”
โรคหัดเมื่อป่วยแล้วร่างกายมีความทรุดโทรมเพราะป่วยเป็นระยะเวลานาน อีกทั้งยังอาจมีโรคแทรกซ้อนต่าง ๆโดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่แข็งแรงทั้งอาการปวดบวม ปอดอักเสบ ลำไส้อักเสบ ท้องร่วง ฯลฯ ซึ่งกลุ่มที่ต้องระมัดระวังพิเศษคือกลุ่มเด็กเล็ก ดังนั้นเมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นอย่านิ่งนอนใจควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย
ส่วนอีกโรคที่มักได้ยิน หัดเยอรมัน โรคทั้งสองชนิดนี้เกิดจากไวรัสกลุ่มเดียวกัน แต่เป็นคนละชนิด หัดเยอรมันเกิดจากไวรัส Rubella อาการก็จะมีความแตกต่างจากหัดที่กำลังกล่าวถึงโดยเฉพาะอาการไข้จะไม่สูงและไม่มีผื่นหนาทึบ นอกจากนี้หัดเยอรมันยังเป็นปัญหาสำคัญสำหรับสตรีมีครรภ์ เพราะทำให้เด็กในครรภ์เกิดภาวะพิการตามมาได้
ขณะที่การป้องกันโรคเป็นเรื่องสำคัญซึ่งปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันหัดในช่วงอายุที่เหมาะสมจึงควรเคร่งครัด แต่อย่างไรก็ตาม พญ.สาลินีกุมารแพทย์ฝากคำแนะนำเพิ่มเติมอีกว่า การดูแลสุขอนามัยนี้นั้นมีความสำคัญที่จะช่วยให้ไกลห่างจากความเจ็บป่วยได้ ซึ่งไม่เพียงเฉพาะแต่เพียงโรคหัด
ยิ่งช่วงฤดูกาลนี้ที่อากาศเปลี่ยนแปลง การพักผ่อนอย่างเพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอหลีกไกลจากปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อสุขภาพ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์หลากหลายทั้งผักผลไม้ ซึ่งเป็นแหล่งวิตามินซีสูงโดยธรรมชาติก็จะช่วยป้องกันหวัดและส่งเสริม สุขภาพ ฯลฯ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นที่ทราบกันก็ควรต้องไม่ละเลยการปฏิบัติ
ส่วนในเวลาป่วยมีอาการ ไอ จาม ควรสวมหน้ากาก อนามัย ซึ่งการสวมใส่หน้ากากอนามัยนั้นส่งผลดีต่อตนเองและคนรอบข้าง
อีกทั้งยังช่วยให้เชื้อโรคไม่แพร่กระจาย เช่นเดียวกับการล้างมือบ่อยครั้ง ไม่จับสิ่งสกปรกแล้วนำไปขยี้ตา ขยี้จมูก ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสุขนิสัยสำคัญช่วยให้ไกลห่างความเจ็บป่วยทั้งสิ้น.
ข้าวโอ๊ต ธัญพืชมากประโยชน์...ดีต่อสุขภาพ-ความงาม - เคล็ดลับสุขภาพดี
ข้าวโอ๊ต จัดเป็นธัญพืชที่ดีมากชนิดหนึ่งที่เรานิยมนำมารับประทานเป็นอาหารเช้า อาทิ โจ๊กข้าวโอ๊ต ขนมปังข้าวโอ๊ต เนื่องจากข้าวโอ๊ตเป็นแหล่งอาหารคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานสูง มีเส้นใยมากและสามารถละลายน้ำได้จึงดูดซึมน้ำตาล ไขมัน ของเสียต่าง ๆ ได้ดี ทำให้เราอิ่มท้องได้นานแถมไม่อ้วน แต่นอกเหนือจากคุณประโยชน์เหล่านี้แล้วคุณผู้อ่านทราบหรือไม่ว่า ข้าวโอ๊ตมีสรรพคุณมากกว่าที่เราคิด ทั้งยังช่วยในเรื่องของการป้องกันโรคร้ายและนำมาใช้เสริมความงามได้อีกด้วย
โดย ข้าวโอ๊ต มีวิตามินและเกลือแร่ที่ร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างทันที และเป็นที่ทราบกันดีว่าข้าวโอ๊ตมีสารอาหารที่หลากหลาย โดยเฉพาะมีเส้นใยมากทำให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายโดยเฉพาะลำไส้ของเราทำงานได้เต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงลดอาการท้องผูกและดูดซึมน้ำตาล ไขมัน ของเสียต่าง ๆ ได้ดี ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือด ทำให้เรารู้สึกอิ่มนานไม่หิวระหว่างมื้อบ่อย ๆ นอกจากนี้ยังมีสารประกอบที่สำคัญคือ เบต้ากลูแคน เป็นเส้นใยอาหารที่สามารถละลายในน้ำได้ดี มีคุณสมบัติคอยดูดซับคอเลสเตอรอลในลำไส้เล็กและปล่อยเป็นของเสียออกจากร่างกาย การรับประทานข้าวโอ๊ตจึงช่วยในการลดคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันและโรคหัวใจได้ผลดี ซึ่งองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา (USFDA) รับรองผลการศึกษาวิจัยว่า หากร่างกายได้รับเบต้ากลูแคนอย่างน้อย 3 กรัมต่อวันจะสามารถช่วยลดปัญหาคอเลสเตอรอลได้ จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องควบคุมปริมาณคอเลสเตอรอลและผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
ปัจจุบันเรามักนิยมนำข้าวโอ๊ต มารับประทานเป็นอาหารเช้าเพื่อสุขภาพเพราะมีคุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วน ข้าวโอ๊ต 100 กรัม ให้พลังงาน 390 กิโลแคลอรี คาร์โบไฮเดรต 66 กรัม ไขมัน 7 กรัม โปรตีน 17 กรัม วิตามินบี 5 1.3 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 5 มิลลิกรัม แมกนีเซียม 177 มิลลิกรัม และกากใยไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายน้ำ 4 กรัม ซึ่งเราสามารถนำข้าวโอ๊ตมาปรุงเป็นอาหารได้หลากหลายเมนูที่อร่อยได้ไม่ซ้ำกันและสามารถรับประทานได้ตลอดและรวดเร็วเหมาะกับวิถีชีวิตชาวเมืองที่ต้องรีบเร่งด้วย เช่น นำน้ำเต้าหู้หรือนมสดใส่แก้วแล้วผสมข้าวโอ๊ตลงไป (ซึ่งสามารถหาซื้อข้าวโอ๊ตได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป) หรือทำโจ๊กข้าวโอ๊ตร้อน ๆ ด้วยการนำข้าวมาต้มให้เปื่อยจนกลายเป็นโจ๊กแล้วเติมข้าวโอ๊ตลงไป เพิ่มรสชาติด้วยหมูสับ ผัก หรือใครชอบขนมหวานก็สามารถนำไปผสมกับคุกกี้ ขนมปังก็ได้คุณประโยชน์เช่นกัน
นอกจากอาหารคาวหวานแล้ว ข้าวโอ๊ตยังสามารถนำมาใช้บำรุงความงามกันได้อีกมากมาย เพราะข้าวโอ๊ตมีวิตามินอีเป็นกลีเซอรีนตามธรรมชาติ คงความชุ่มชื่นของผิวได้ดี โดยเราสามารถนำข้าวโอ๊ตมาผสมกับน้ำผึ้งแล้วนำมาสครับผิวหรือพอกหน้าหรือสามารถนำมาผสมน้ำอาบ ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าช่วยให้ผิวเนียนนุ่มขึ้น ไม่มัน เพราะมีคุณสมบัติพิเศษในการช่วยดูดซับความมันออกจากผิวได้
เห็นคุณประโยชน์อันมากมายมหาศาลของข้าวโอ๊ตแบบนี้แล้ว อย่าลืมหันมาบริโภคธัญพืชดี ๆ ชนิดนี้กันนะคะ.
สรรหามาบอก
-โรงพยาบาลลาดพร้าวร่วมกับอิมพีเรียล เวิลด์ ลาดพร้าว ขอเชิญหนูน้อยระดับอนุบาล-ประถมศึกษา เข้าร่วม ’ประกวดหนูน้อยสุขภาพดีและพัฒนาการเด่น“ ในงานวันเด็กใน วันเสาร์ที่ 14 มกราคม 2555 เวลา 10.00-16.00 น. ณ ชั้น G ศูนย์การค้าอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว สนใจสอบถามเพิ่มเติมโทร. 0-2530-2244 ต่อ 1863, 1837
-สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ขอเชิญน้อง ๆ และผู้ป่วยเด็กส่งเรียงความการประกวดสร้างฝัน...ร่วมจินตนาการในหัวข้อ ’กระปุกออมสิน IQ-EQ เล่นสร้างจินตนาการ...เก็บออมสร้างอนาคต“ เพื่อชิงเงินรางวัลและร่วมกิจกรรมงานวันเด็กประจำปี 2555 ใน วันเสาร์ที่ 14 มกราคม 2555 ณ ลานกิจกรรมชั้น 1 หน้าตึกมหิตลาธิเบศร สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ส่งเรียงความภายในวันที่ 9 มกราคม 2555 สอบถามโทร. 0-2644-6011 ต่อ 5021และ 0-2354-8033-43
-โรงพยาบาลพญาไท 2 ขอเชิญว่าที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่เข้าร่วมกิจกรรม ’Happy Mom Family“ สายใยรักครอบครัว ในวันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม 2555 เวลา 13.30-16.30 น. ณ ห้องประชุมชั้น 9 อาคารจอดรถโรงพยาบาลพญาไท 2 ภายในงานมีกิจกรรมโยคะปรับสมดุลร่างกายและการออกกำลังกายขณะตั้งครรภ์ พร้อมทัวร์ห้องคลอด สำรองที่นั่งโทร. 1772 รับฟรี กิฟต์เซตลูกน้อย 1 ชุด (จำนวนจำกัด)
-คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ขอเชิญประชาชนผู้สนใจชม ’นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก“ ในโอกาสครบรอบ 120 ปี เเห่งวันคล้ายวันพระราชสมภพ 1 มกราคม 2555 โดยจัดเเสดงวันนี้ถึงวันที่ 9 มกราคม 2555 ณ ศาลาศิริราช 100 ปี และตั้งเเต่วันนี้ถึงวันที่ 31 มกราคม 2555 ณ บริเวณโถงชั้น 1 หอสมุดศิริราช.
|